นิทานเรื่อง ลูกกำพร้าบนดวงจันทร์

สรุป: 
ลูกกำพร้าบนดวงจันทร์ เป็นนิทานพื้นบ้านของชาวเลอเวือะ ที่แสดงให้เห็นความรัก ความผูกพันของแม่ที่มีต่อลูกอย่างลึกซึ้ง ทั้งยังแสดงให้เห็นความเชื่อเรื่องผีกะ วิถีชีวิต ธรรมชาติ รวมถึงโลกทัศน์และจินตนาการของชาวเลอเวือะผ่านนิทานพื้นบ้าน
รายละเอียด: 

ชายคนหนึ่งมีเมียอยู่สองคน เมียหลวงของเขาเป็นคนดีและมีลูกชาย 1 คน ส่วนเมียน้อยเป็นผีกะ และชอบหาเรื่องเมียหลวงตลอดเวลา อยู่มาวันหนึ่งสามีสงสัยว่าเมียคนไหนที่เป็นผีกะ เขาจึงวางแผนพิสูจน์ โดยไปทอดแหจับปลาในลำห้วย และพาเมียทั้งสองไปด้วย ขณะเดียวกันเขาก็ทิ้งลูกให้อยู่บ้านเพียงลำพัง เมื่อสามคนผัวเมียเดินทางมาจนถึงลำห้วย ฝ่ายสามีก็ลงมือจับปลา เมื่อได้จำนวนมากพอ เขาจึงจัดการแบ่งปลาใส่ลงในแปม ให้ทั้งสองเมียจำนวนเท่า ๆ กัน และเมื่อผัวเอาปลาใส่ในแปมให้เมียน้อย เมียน้อยกลับกินปลาดิบนั้นจนหมด เมื่อปลาหมดแปมจึงขอแลกแปมกับเมียหลวง โดยไม่ให้คนเป็นผัวรู้ พอขากลับผัวสังเกตเห็นแปมของเมียหลวงไม่มีปลาสักตัว เมียน้อยจึงใส่ร้ายบอกว่าเมียหลวงเป็นผีกะ ผัวก็เชื่อเพราะเห็นว่าในแปมไม่มีปลาอยู่จริง ๆ ผัวนั้นโกรธเมียหลวงมากและทุบตีจนตาย ตกเย็นลูกนั่งรอแม่อยู่ที่บ้าน เห็นพ่อและเมียน้อยกลับมาแค่สองคน จึงเข้าไปถามว่าแม่ตนอยู่ที่ไหน ผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า แม่ของลูกอยู่แถว ๆ ลำห้วยนั่นแหละ ลูกก็ร่ำไห้ออกไปหาแม่ เมื่อถึงลำห้วยจึงได้พบแม่ที่กลายเป็นผี ทั้งสองต่างกอดร่ำลากัน แม่บอกลูกว่า แม่จะเกิดไปเป็นเต่า จึงขอให้ลูกอย่ากินเนื้อเต่า แต่ถ้าแม่ถูกจับได้และเอาไปกินขอให้ลูกเก็บกระดูกแม่ไว้ด้วย แล้วห้ามบอกพ่อว่าเจอแม่ที่ลำห้วยนี้

เมื่อกลับบ้าน พ่อของเขาก็คาดคั้นว่าลูกชายไปไหนมา เมื่อเห็นว่าพ่อลูกทะเลาะกัน แม่ที่ไปเกิดใหม่เป็นเต่าก็มาแอบดูเหตุการณ์อยู่ที่ครกกระเดื่องตำข้าวใต้ถุนบ้าน บังเอิญหมาเห็นเข้าก็เห่าเสียงดัง พอพ่อเห็นจึงจับเมียหลวงในร่างเต่านั้นมาแกงกิน เมื่อลูกรู้ว่าแม่ถูกแกงไปแล้วจะเก็บกระดูกไว้ตามคำสั่งเสียของแม่ พ่อก็ห้ามและตีลูกอีก แต่โชคดีที่มีหมาดำตัวหนึ่งมาเก็บกระดูกไปแทน มันขุดหลุมและฝังกระดูกเอาไว้ในหม้อดิน ต่อมาเมื่อลูกรู้จึงไปขุดหม้อกระดูกนั้นจนพบ แล้วนำหม้อกระดูกนี้ไปฝังไว้ที่ทางแยก ปรากฏว่าบริเวณที่ฝังหม้อกระดูกนั้นมีต้นไทรงอกขึ้นมา ลูกกำพร้าจึงไปทำความสะอาดที่นั้นเป็นประจำ และเมื่อถึงคืนเดือนเต็มดวงและเดือนดับก็จะได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีจากต้นไทรเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว

จนพญาเจ้าเมืองปรารถนาจะนำไปปลูกไว้ในวัง แต่เมื่อนำมาปลูกในวังแล้วต้นไทรกลับไม่มีเสียงดนตรีออกมาอีกเลย พญาเจ้าเมืองเห็นว่าแม้ไม่มีเสียงดนตรีบรรเลงแต่ก็ยังมีความงามอยู่ พระองค์จึงมีความคิดที่จะนำต้นไทรนี้ไปปลูกไว้บนดวงจันทร์ เพื่อให้ชาวโลกได้ประจักษ์ถึงความงามโดยทั่ว และพระองค์ยังคิดว่าบางทีอาจจะได้ยินเสียงดนตรีที่ไพเราะนั้นอีก เมื่อเห็นควรเช่นนั้นพระองค์จึงนำต้นไทรนี้ไปปลูกไว้บนดวงจันทร์แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงดนตรีดังออกมาอย่างที่คิด พญาเจ้าเมืองจึงคิดว่าอาจเป็นเพราะลูกกำพร้านั้นอยู่ไกลแม่ จึงสั่งให้คนขี่ช้างจากดวงจันทร์มารับลูกกำพร้าไปอยู่ด้วย แต่ลูกกำพร้าไม่ยอมไปจึงใช้อุบายบอกให้เด็กกำพร้ายื่นน้ำให้คนขี่ช้าง เมื่อเด็กกำพร้ายื่นน้ำให้แล้วคนบนหลังช้างจึงจับมือเด็กและดึงขึ้นบนหลังช้าง เมื่อขึ้นไปอยู่บนหลังช้างแล้วเด็กกำพร้าก็ลงไม่ได้ เลยถูกนำตัวไปอยู่บนดวงจันทร์กับแม่ของเขา ดังนั้น ในคืนเดือนเต็มดวงคนทั้งโลกจึงเห็นต้นไทรกับเด็กกำลังตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์นั้นเอง

ผู้แปล นายบือ ขจรศักดิ์ศรี

ตำแหน่งที่ตั้ง: 
รายละเอียดตำแหน่งที่ตั้ง: 

บ้านเลขที่ 24/1 ม.3 ต.ป่าแป๋ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน 58110